Mimulala’s Review 2 : 人間失格 สูญสิ้นความเป็นคน
สวัสดีค่ะ
กลับมาอีกครั้งกับการรีวิวหนังสือ ครั้งนี้ยังคงอยู่กันที่วรรณกรรมสมัยใหม่หรือ 近代文学 เหมือนเช่นเคยนะคะ อาจเพราะเพิ่งเคยได้ลิ้มรสงานเขียนประเภทนี้จึงค่อนข้างเสพติดเป็นพิเศษ เรียกง่าย ๆ ว่าเห่อนั่นเอง5555
สำหรับรีวิวเรื่อง 人間失格 หรือ สูญสิ้นความเป็นคน คงหนีไม่พ้นสปอยแน่ ๆ ขอแปะป้าย สปอย ตัวโต ๆ ไว้ก่อนเลย
การรีวิวนี้ไม่มีหลักการอะไรมาก อาจมีข้อผิดพลาดต้องขออภัยไว้ล่างหน้าค่ะ
เริ่มกันเลย
หลังสอบกลางภาคเสร็จก็แวะเข้าร้านหนังสือคิโนะคุนิยะ ตั้งใจว่าจะไปซื้อ อันตัวข้าพเจ้านี้คือแมว ของนัทสึเมะ โซเซคิ เพราะติดใจงานเขียนจากเรื่องโคะโคะโระ
ขณะที่ไล่สายตาไปตามชั้นหนังสือที่วางเรียงรายจนชวนให้สับสนมึนงงขึ้นมาเล็กน้อย ก็บังเอิญไปเห็นหนังสือเล่มเล็กปกสีส้มที่ฟอนต์ตัวหนังสือให้ความรู้สึกเหมือนนวนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมอย่างไรอย่างนั้น
‘สูญสิ้นความเป็นคน’ ชื่อแปลไทยดูหดหู่น่ากลัว ในขณะที่กำลังจะเลื่อนสายตาผ่านก็สะดุดเข้ากับตัวหนังสือสีดำข้าง ๆ เขียนว่า ‘人間失格’ หนังสือที่อยู่ในลิสต์วิชา Hist Jap Lit ทั้งยังเคยเห็นชื่อหนังสือเรื่องนี้ในอนิเมะ bungou stray dogs สุดท้ายจึงลองซื้อมาอ่านอย่างไม่คิดอีกเหมือนเดิม
......
‘สูญสิ้นความเป็นคน’ เล่าเรื่องราวผ่านทางบันทึกสามฉบับของ โอบะ โยโซ ตั้งแต่เด็กจวบจนวัยยี่สิบเจ็ดปี เขาผ่านเรื่องราวมากมายที่ค่อย ๆ กัดกร่อนความเป็นคนในตัวเขาจนสูญสิ้น
หนังสือเรื่องนี้ดะไซ โอซามุเล่าเรื่องโดยอิงจากชีวิตของตัวเอง หลักจากนวนิยายเรื่องนี้ตีพิมพ์ได้ไม่นานเขาก็จบชีวิตลง
โยโซหวาดกลัวมนุษย์ เขาเลือกสวมบทบาทตัวตลกและปิดซ่อนตัวตนที่แท้จริงเพื่อทำให้มนุษย์พึงพอใจ เขาคล้ายกับเดินออกมาจากวังวนชีวิต หยุดยืนมองมนุษย์จากสายตาคนนอก ทำไมมนุษย์ต้องดิ้นรนที่จะมีชีวิต ทำไมมนุษย์สวมหน้ากากเข้าหากันแต่พวกเขากลับไม่เจ็บปวดแม้แต่น้อย โยโซกล่าวว่าเขาไม่เข้าใจแก่นแท้ของ ‘การดำเนินชีวิต’ รวมถึงมองว่านิยาม ‘ความสุข’ ของเขาอาจจะแปลกไปจากคนอื่น นี่คงเป็นจุดเริ่มแรกที่ทำให้โยโซสงสัยในความเป็นมนุษย์ของตัวเอง
โยโซเกิดในครอบครัวมีฐานะ เขาไม่รู้จักความหิวโหย ไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ต้องกินอาหาร การกินอาหารสามมื้อกับครอบครัวดูจะเป็นพิธีกรรมบางอย่างที่มาพร้อมกับคำขู่กรรโชกว่าหากไม่กินเราจะตาย มนุษย์ต่างทำงานเพื่อให้ได้กินและดิ้นรนที่จะมีชีวิตรอด
หลังจากเดินทางเข้ามาในโตเกียวโยโซได้รู้จักกับโฮริกิสหายจากโรงเรียนศิลปะและผู้หญิงมากหน้าหลายตาที่ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป เขามองว่าผู้หญิงเหมือนสิ่งมีชีวิตคนละเผ่าพันธุ์ที่เข้าใจยาก ทว่าการร่วมหลับนอนกับหญิงคณิกากลับสร้างความสบายใจให้เขา เขาบอกว่าพวกเธอเหล่านั้นเหมือนสิ่งมีชีวิตปัญญาอ่อนวิกลจริต ส่วนตัวมองว่าตัวตนของหญิงคณิกาสำหรับโยโซคงเหมือนตัวละคร 2D ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง สองคนที่ไม่รู้จักกันแต่กลับใช้เวลาร่วมกันได้ สิ่งนี้อาจเป็นความสบายใจให้แก่โยโซที่หวาดกลัวมนุษย์เหลือคณา
ชีวิตของโยโซนับวันยิ่งจมดิ่งลงสู่ความมืด เข้าร่วมกระบวนการผิดกฎหมาย ติดสุรา ติดสารเสพติด เขารู้สึกสบายใจกับการทำสิ่งที่ผู้คนเรียกว่า ‘ผิดกฎหมาย’ การอยู่ในกรอบ ในกฎเกณฑ์ทำให้เขารู้สึกอึดอัด
......
มีหลากฉากหลายตอนที่อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ก็ได้แค่โทษความโง่งมของตัวเอง แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกขณะอ่านคืออยากจะฉุดดึงโยโซขึ้นมาจากก้นเหวกลับคืนสู่ความเป็นคน ทว่ายิ่งเนื้อเรื่องดำเนินไปก็คล้ายว่าเขาไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีกแล้ว
หากพูดถึงความคิดของโยโซก็คงเข้าสูตรคนเป็นโรคซึมเศร้า ทัศนคติต่อโลกของเขาเต็มไปด้วยแง่ร้าย หวาดกลัว ไม่อาจเชื่อใจใคร คนที่ดูเหมือนจะเป็นพวกเดียวกันแต่สุดท้ายกลับไม่ใช่ยิ่งกดบาดแผลความหวาดกลัวของเขาให้เหวอะหวะ โยโซรู้สึกเหมือนเขาอยู่ตัวคนเดียวบนโลกและเข้ากับสังคมมนุษย์ไม่ได้
ตอนเริ่มอ่านไม่คิดว่าจะดาร์กและมืดมนได้ขนาดนี้ เป็นยาขมเช่นเดียวกับบทวิจารย์ที่หลังปกไม่มีผิด ในหนังสือเต็มไปด้วยการเสียดสีและประชดประชัน มีถ้อยคำจากหลายตอนที่อ่านแล้วทำให้รู้สึกสะอึกอยู่เหมือนกัน แต่ที่ชอบที่สุดคงเป็นตอนที่พูดถึงสังคม
จากประโยคนี้ ทำให้โยโซที่หวาดกลัวมนุษย์ตระหนักได้ว่า สังคมหาใช่คนหมู่มากอย่างที่เคยคิดแต่เป็นปัจเจก สังคมเท่ากับคนหนึ่งคน เป็นเพียงการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ต่อมาจึงทำให้โยโซเริ่มกล้าทำอะไรตามใจตัวเองขึ้นมาบ้าง
นอกจากที่ยกมาข้างต้น ยังมีอีกหลายข้อความในเรื่องที่สร้างความสะเทือนใจจนหัวใจเต้นเร็ว นึกสงสารเวทนาหลายตัวละคร แต่ที่หดหู่เป็นพิเศษคงเป็นภรรยาของโยโซที่ถูกทำเรื่องอัปยศจากชายคนอื่น โยโซไม่กล่าวโทษภรรยา เขากล่าวว่าเขาไม่มีสิทธิจะไปยกโทษให้เธอเพราะภรรยาของเขาไม่ได้ทำอะไรผิด เขาตั้งคำถามต่อพระเจ้าว่าเช่นนั้นความไว้ใจคือบาปอย่างนั้นหรือ ภรรยาของเขาที่เป็นดั่งน้ำสะอาดบริสุทธิ์กลับกลายเป็นน้ำสกปรกในชั่วข้ามคืนอันเนื่องจากความไว้ใจคน
ตอนที่อ่านรู้สึกอยากตะโกนบอกโยโซว่าความไว้ใจไม่ใช่บาป คนที่กระทำเรื่องอัปยศต่างหากสมควรเรียกว่าคนบาป หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นภรรยาของโยโซกลายเป็นคนหวาดระแวงต่อทุกสิ่งแม้กระทั่งตัวเขา ตอนอ่านรู้สึกสงสารจับจิตจนน้ำตาจะไหลออกมาเลยค่ะ
เนื้อเรื่องแสดงให้เห็นความหวาดกลัว ความหวาดระแวง แม้กระทั่งรู้สึกได้ถึงการร้องขอความช่วยเหลือ เรียกร้องความรักและการปลอบประโลม
人間失格 หรือ สูญสิ้นความเป็นคน เป็นนวนิยายอีกหนึ่งเรื่องที่แนะนำให้หยิบขึ้นมาอ่าน แม้โลกที่ผ่านมุมมองของโยโซจะเต็มไปด้วยแง่ร้ายและความกลัวแต่ก็ประกอบด้วยข้อความที่ทำให้ฉุกคิด หนังสือเล่มเล็ก ๆ ไม่หนามาก ใช้เวลาอ่านไม่ถึงสองชั่วโมงแต่มีคุณค่าทำให้เราตระหนักถึงอะไรหลาย ๆ อย่างค่ะ
คำศัพท์
世間 (n.) สังคม
複数 (n.) พหุพจน์
実態 (n.) ตัวตนที่แท้จริง
舌の先 (n.) ปลายลิ้น
Ref.
https://arinoheitai.com/ningen-sikkaku-meigen/
กลับมาอีกครั้งกับการรีวิวหนังสือ ครั้งนี้ยังคงอยู่กันที่วรรณกรรมสมัยใหม่หรือ 近代文学 เหมือนเช่นเคยนะคะ อาจเพราะเพิ่งเคยได้ลิ้มรสงานเขียนประเภทนี้จึงค่อนข้างเสพติดเป็นพิเศษ เรียกง่าย ๆ ว่าเห่อนั่นเอง5555
สำหรับรีวิวเรื่อง 人間失格 หรือ สูญสิ้นความเป็นคน คงหนีไม่พ้นสปอยแน่ ๆ ขอแปะป้าย สปอย ตัวโต ๆ ไว้ก่อนเลย
การรีวิวนี้ไม่มีหลักการอะไรมาก อาจมีข้อผิดพลาดต้องขออภัยไว้ล่างหน้าค่ะ
เริ่มกันเลย
‘ผมผ่านชีวิตอันมากมายด้วยความอัปยศ...’
เพียงประโยคขึ้นต้นของบันทึกฉบับแรกก็สร้างแรงดึงดูดมหาศาล
ให้ข้าพเจ้าสนใจใคร่รู้ว่าเจ้าของบันทึกมีเส้นทางชีวิตเป็นมาเช่นไร
ถึงได้ยอมเปิดเปลือยบาดแผลและรอยมืดหม่นในอดีต
ร้อยเรียงเป็นตัวอักษรให้ปรากฎแก่สายตาคน
ซ้ำยังรวบสรุปชีวิตของตนด้วยถ้อยคำบาดลึกเช่นนี้
สูญสิ้นความเป็นคน
ผลงานชิ้นเอกของดะไซ โอซามุ
แปลโดย พรพิรุณ กิจสมเจตน์
หลังสอบกลางภาคเสร็จก็แวะเข้าร้านหนังสือคิโนะคุนิยะ ตั้งใจว่าจะไปซื้อ อันตัวข้าพเจ้านี้คือแมว ของนัทสึเมะ โซเซคิ เพราะติดใจงานเขียนจากเรื่องโคะโคะโระ
ขณะที่ไล่สายตาไปตามชั้นหนังสือที่วางเรียงรายจนชวนให้สับสนมึนงงขึ้นมาเล็กน้อย ก็บังเอิญไปเห็นหนังสือเล่มเล็กปกสีส้มที่ฟอนต์ตัวหนังสือให้ความรู้สึกเหมือนนวนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมอย่างไรอย่างนั้น
‘สูญสิ้นความเป็นคน’ ชื่อแปลไทยดูหดหู่น่ากลัว ในขณะที่กำลังจะเลื่อนสายตาผ่านก็สะดุดเข้ากับตัวหนังสือสีดำข้าง ๆ เขียนว่า ‘人間失格’ หนังสือที่อยู่ในลิสต์วิชา Hist Jap Lit ทั้งยังเคยเห็นชื่อหนังสือเรื่องนี้ในอนิเมะ bungou stray dogs สุดท้ายจึงลองซื้อมาอ่านอย่างไม่คิดอีกเหมือนเดิม
......
‘สูญสิ้นความเป็นคน’ เล่าเรื่องราวผ่านทางบันทึกสามฉบับของ โอบะ โยโซ ตั้งแต่เด็กจวบจนวัยยี่สิบเจ็ดปี เขาผ่านเรื่องราวมากมายที่ค่อย ๆ กัดกร่อนความเป็นคนในตัวเขาจนสูญสิ้น
หนังสือเรื่องนี้ดะไซ โอซามุเล่าเรื่องโดยอิงจากชีวิตของตัวเอง หลักจากนวนิยายเรื่องนี้ตีพิมพ์ได้ไม่นานเขาก็จบชีวิตลง
โยโซหวาดกลัวมนุษย์ เขาเลือกสวมบทบาทตัวตลกและปิดซ่อนตัวตนที่แท้จริงเพื่อทำให้มนุษย์พึงพอใจ เขาคล้ายกับเดินออกมาจากวังวนชีวิต หยุดยืนมองมนุษย์จากสายตาคนนอก ทำไมมนุษย์ต้องดิ้นรนที่จะมีชีวิต ทำไมมนุษย์สวมหน้ากากเข้าหากันแต่พวกเขากลับไม่เจ็บปวดแม้แต่น้อย โยโซกล่าวว่าเขาไม่เข้าใจแก่นแท้ของ ‘การดำเนินชีวิต’ รวมถึงมองว่านิยาม ‘ความสุข’ ของเขาอาจจะแปลกไปจากคนอื่น นี่คงเป็นจุดเริ่มแรกที่ทำให้โยโซสงสัยในความเป็นมนุษย์ของตัวเอง
โยโซเกิดในครอบครัวมีฐานะ เขาไม่รู้จักความหิวโหย ไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์ต้องกินอาหาร การกินอาหารสามมื้อกับครอบครัวดูจะเป็นพิธีกรรมบางอย่างที่มาพร้อมกับคำขู่กรรโชกว่าหากไม่กินเราจะตาย มนุษย์ต่างทำงานเพื่อให้ได้กินและดิ้นรนที่จะมีชีวิตรอด
หลังจากเดินทางเข้ามาในโตเกียวโยโซได้รู้จักกับโฮริกิสหายจากโรงเรียนศิลปะและผู้หญิงมากหน้าหลายตาที่ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป เขามองว่าผู้หญิงเหมือนสิ่งมีชีวิตคนละเผ่าพันธุ์ที่เข้าใจยาก ทว่าการร่วมหลับนอนกับหญิงคณิกากลับสร้างความสบายใจให้เขา เขาบอกว่าพวกเธอเหล่านั้นเหมือนสิ่งมีชีวิตปัญญาอ่อนวิกลจริต ส่วนตัวมองว่าตัวตนของหญิงคณิกาสำหรับโยโซคงเหมือนตัวละคร 2D ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง สองคนที่ไม่รู้จักกันแต่กลับใช้เวลาร่วมกันได้ สิ่งนี้อาจเป็นความสบายใจให้แก่โยโซที่หวาดกลัวมนุษย์เหลือคณา
ชีวิตของโยโซนับวันยิ่งจมดิ่งลงสู่ความมืด เข้าร่วมกระบวนการผิดกฎหมาย ติดสุรา ติดสารเสพติด เขารู้สึกสบายใจกับการทำสิ่งที่ผู้คนเรียกว่า ‘ผิดกฎหมาย’ การอยู่ในกรอบ ในกฎเกณฑ์ทำให้เขารู้สึกอึดอัด
......
มีหลากฉากหลายตอนที่อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ก็ได้แค่โทษความโง่งมของตัวเอง แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกขณะอ่านคืออยากจะฉุดดึงโยโซขึ้นมาจากก้นเหวกลับคืนสู่ความเป็นคน ทว่ายิ่งเนื้อเรื่องดำเนินไปก็คล้ายว่าเขาไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีกแล้ว
หากพูดถึงความคิดของโยโซก็คงเข้าสูตรคนเป็นโรคซึมเศร้า ทัศนคติต่อโลกของเขาเต็มไปด้วยแง่ร้าย หวาดกลัว ไม่อาจเชื่อใจใคร คนที่ดูเหมือนจะเป็นพวกเดียวกันแต่สุดท้ายกลับไม่ใช่ยิ่งกดบาดแผลความหวาดกลัวของเขาให้เหวอะหวะ โยโซรู้สึกเหมือนเขาอยู่ตัวคนเดียวบนโลกและเข้ากับสังคมมนุษย์ไม่ได้
ตอนเริ่มอ่านไม่คิดว่าจะดาร์กและมืดมนได้ขนาดนี้ เป็นยาขมเช่นเดียวกับบทวิจารย์ที่หลังปกไม่มีผิด ในหนังสือเต็มไปด้วยการเสียดสีและประชดประชัน มีถ้อยคำจากหลายตอนที่อ่านแล้วทำให้รู้สึกสะอึกอยู่เหมือนกัน แต่ที่ชอบที่สุดคงเป็นตอนที่พูดถึงสังคม
世間とは、いったい、何の事でしょう。人間の複数でしょうか。
どこに、その世間というものの実態があるのでしょう。
けれど、何しろ、強く、きびしく、こわいもの、とばかり思ってこれまで生きて来たのですが、しかし、堀木にそう言われて、ふと、これに対して葉三は「世間というのは、君じゃないか」という言葉が、
舌の先まで出かかって、堀木を怒らせるのがイヤで、ひっこめました。
舌の先まで出かかって、堀木を怒らせるのがイヤで、ひっこめました。
‘สังคม’ ที่ว่าหมายถึงสิ่งใดกัน หมายถึงมนุษย์มากงั้นหรือ สังคมมีตัวตนแท้จริงหรือไม่
จะสัมผัสจับต้องได้ที่ใดบ้าง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาผมรู้สึกเพียงว่า
สังคมเป็นสิ่งทรงอำนาจ เข้มงวด และน่าสะพรึงกลัว
แต่เมื่อได้ยินโฮริกิพูดเช่นนั้น จู่ ๆ ผมเกือบหลุดปากว่า
“สังคมที่ว่า ไม่ได้หมายถึงตัวนายหรอกรึ”
ประโยคดังกล่าวหลุดออกมาคาอยู่ตรงปลายลิ้น
แต่ผมกลืนกลับลงคอเพราะไม่อยากทำให้โฮริกิไม่พอใจ
จากประโยคนี้ ทำให้โยโซที่หวาดกลัวมนุษย์ตระหนักได้ว่า สังคมหาใช่คนหมู่มากอย่างที่เคยคิดแต่เป็นปัจเจก สังคมเท่ากับคนหนึ่งคน เป็นเพียงการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ต่อมาจึงทำให้โยโซเริ่มกล้าทำอะไรตามใจตัวเองขึ้นมาบ้าง
นอกจากที่ยกมาข้างต้น ยังมีอีกหลายข้อความในเรื่องที่สร้างความสะเทือนใจจนหัวใจเต้นเร็ว นึกสงสารเวทนาหลายตัวละคร แต่ที่หดหู่เป็นพิเศษคงเป็นภรรยาของโยโซที่ถูกทำเรื่องอัปยศจากชายคนอื่น โยโซไม่กล่าวโทษภรรยา เขากล่าวว่าเขาไม่มีสิทธิจะไปยกโทษให้เธอเพราะภรรยาของเขาไม่ได้ทำอะไรผิด เขาตั้งคำถามต่อพระเจ้าว่าเช่นนั้นความไว้ใจคือบาปอย่างนั้นหรือ ภรรยาของเขาที่เป็นดั่งน้ำสะอาดบริสุทธิ์กลับกลายเป็นน้ำสกปรกในชั่วข้ามคืนอันเนื่องจากความไว้ใจคน
ตอนที่อ่านรู้สึกอยากตะโกนบอกโยโซว่าความไว้ใจไม่ใช่บาป คนที่กระทำเรื่องอัปยศต่างหากสมควรเรียกว่าคนบาป หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นภรรยาของโยโซกลายเป็นคนหวาดระแวงต่อทุกสิ่งแม้กระทั่งตัวเขา ตอนอ่านรู้สึกสงสารจับจิตจนน้ำตาจะไหลออกมาเลยค่ะ
...ส่งท้าย
เนื้อเรื่องแสดงให้เห็นความหวาดกลัว ความหวาดระแวง แม้กระทั่งรู้สึกได้ถึงการร้องขอความช่วยเหลือ เรียกร้องความรักและการปลอบประโลม
人間失格 หรือ สูญสิ้นความเป็นคน เป็นนวนิยายอีกหนึ่งเรื่องที่แนะนำให้หยิบขึ้นมาอ่าน แม้โลกที่ผ่านมุมมองของโยโซจะเต็มไปด้วยแง่ร้ายและความกลัวแต่ก็ประกอบด้วยข้อความที่ทำให้ฉุกคิด หนังสือเล่มเล็ก ๆ ไม่หนามาก ใช้เวลาอ่านไม่ถึงสองชั่วโมงแต่มีคุณค่าทำให้เราตระหนักถึงอะไรหลาย ๆ อย่างค่ะ
คำศัพท์
世間 (n.) สังคม
複数 (n.) พหุพจน์
実態 (n.) ตัวตนที่แท้จริง
舌の先 (n.) ปลายลิ้น
Ref.
https://arinoheitai.com/ningen-sikkaku-meigen/
เรื่องนี้เป็นเรื่องตรึงใจเรื่องหนึ่งเลยค่ะ ฉบับภาษาญี่ปุ่นเขาว่าภาษาเพราะมากๆ(จริงไหมคะ) มีประโยคหรือปรากฏการณ์ทางภาษาศาสตร์ใดที่น่าสนใจ ไว้เล่าสู่ให้ฟังด้วยนะคะ
ตอบลบคุณ mimulala ขยันอ่านหนังสือจังเลย รู้สึกผิดกับตัวเองขึ้นมาเลย 555 รีวิวละเอียดมากค่ะ ชอบที่ยกโควทมาให้เห็นภาพว่าเป็นนิยายแบบไหน รอรีวิวหนังสือเล่มถัดไปเลย
ตอบลบ